วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การจัดการแข่งขันฟุตบอลในประเทศไทย

หลายคนคงเริิ่มสนใจฟุตบอลไทยและสโมสรต่างๆกันแล้วใช่ไหมคะเราลองมาดูสิกว่าจะมาเป็นสโมสรการเข้าแข่งขันเค้าแบ่งระดับลีกกันยังไง
                การแข่งขันฟุตบอลอาชีพ ระบบลีกในส่วนภูมิภาค เริ่มเมื่อปี 2542 โดยให้ชื่อว่าโปรวินเชียลลีก (Provincial League) จัดโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 กกท.ย้ายการแข่งขันไปร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น โปรเฟสชันนัลลีก (Professional League) โดยแบ่งเป็นสองระดับชั้น (Division) ซึ่งระดับชั้นสูงสุดมี 18 สโมสรเข้าร่วม จนกระทั่งเมื่อเริ่มฤดูกาล พ.ศ. 2549 สโมสรฟุตบอลชลบุรี และสโมสรฟุตบอลสุพรรณบุรี จากโปรเฟสชันนัลลีกสูงสุด เข้ามาร่วมในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก และเมื่อเริ่มฤดูกาล พ.ศ. 2550 กกท.ทำการยุบ โปรเฟสชันนัลลีกสูงสุด โดยจัดแบ่งสโมสรในลีกให้ไปเข้าแข่งขัน กับไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก และไทยลีกดิวิชัน 1

ในส่วนการแข่งขันรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ซึ่งสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) กำหนดให้สโมสรที่เข้าร่วมแข่งขันต้องมีใบรับรองสโมสร (Club licensing) อย่างถูกต้องตามที่เอเอฟซีกำหนด โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยมีอยู่ 6 สโมสรคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด, บางกอกกล๊าส เอฟซี, ชลบุรี เอฟซี, บีอีซี เทโรศาสน และชัยนาท ฮอร์นบิล แต่บีอีซี เทโรศาสน กับ ชัยนาท ฮอร์นบิล ถึงจะได้คลับไลเซนซิ่งแล้ว แต่สนามยังอยู่ในคลาส B ซึ่งในอนาคตทางสมาคมฟุตบอลฯได้มีการกำหนดให้ทุกทีมในไทยลีกต้องผ่านคลับไลเซนซิ่ง โดยทีมที่ทำไม่ได้จะถูกหักเงินหรือถูกตัดแต้ม

ระดับการแข่งขัน
1. ไทยพรีเมียร์ลีก  (โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก) 18 ทีม

  • ทีมชนะเลิศ ได้สิทธิแข่งขันรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม
  • ทีมรองชนะเลิศ ได้สิทธิแข่งขันรายการเอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก
  • ทีมอันดับที่ 16-18 (3 อันดับสุดท้าย) ลดชั้นไปแข่งขันในไทยลีกดิวิชัน 1

2. ไทยลีกดิวิชัน 1 (ยามาฮ่า ลีกวัน)  20 ทีม
  • ทีมอันดับที่ 1-3 ได้สิทธิเลื่อนชั้นไปแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีก
  • ทีมอันดับที่ 15-20 (6 อันดับสุดท้าย) ลดชั้นไปแข่งขันในลีกภูมิภาค ดิวิชัน 2

3. ลีกดิวิชัน 2 (เอไอเอส ลีกภูมิภาค) 6 กลุ่มภูมิภาค
  • ทีมชนะเลิศและรองชนะเลิศ ของทั้งสองสายจากรอบแชมเปี้ยนส์ลีก (รวม 4 ทีม) ได้สิทธิเลื่อนชั้นไปเล่นในไทยลีกดิวิชัน 1
  • แชมเปี้ยนส์ลีกมี 12 ทีม แบ่งเป็น 2 สายๆละ 6 ทีม ซึ่งทีมที่เข้าแข่งขัน มาจากอันดับ 1 และ 2 ของ 5 กลุ่ม ได้แก่ ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, กรุงเทพและภาคกลาง, ภาคกลางตะวันออก, ภาคกลางตะวันตก และ อันดับ 1 ของกลุ่มภาคใต้ รวมกับ ทีมชนะ ระหว่างอันดับที่ 2 จากกลุ่มภาคใต้ กับ ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดของกลุ่มภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งสิ้น 12 ทีม
กลุ่มภาคเหนือ
16 ทีม
กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
16 ทีม
กลุ่มกรุงเทพและภาคกลาง
14 ทีม
กลุ่มภาคกลางตะวันออก
14 ทีม
กลุ่มภาคกลางตะวันตก
13 ทีม
กลุ่มภาคใต้
11 ทีม

โอ้โห เห็นไหมว่ากว่าจะขึ้นไปลีคสูงสุดได้ต้องฝ่าฝันอุปสรรคอะไรบ้าง ยังไงก็ทีมแชมป์ต้องรักษาแชมฟ์ไว้อย่างเหนียวแน่นเลย

**แหล่งที่มา 
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สุทธินันท์ พุกหอม


สุทธินันท์ พุกหอม เกิดวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 ที่อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรีเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกเมื่ออายุ 5 ขวบ จบการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดบางลี่ ชั้น ม.1-ม.2 ที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรีและชั้นม.3-ม.4 ที่โรงเรียนดรุณาราชบุรีก่อนจะย้ายไปเรียนชั้น ม.5 ที่โรงเรียนวัดสุทธิวรารามและชั้น ม.6 ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยแต่เรียนไม่จบชั้น ม.ปลาย จึงไปเรียน กศน. ที่ราชบุรีจนจบชั้น ม.6 ปัจจุบันเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
สุทธินันท์ พุกหอม สร้างชื่อเสียงในระดับสโมสรเมื่อครั้งเล่นให้กับทีมนครปฐมในตำแหน่งกองหลัง และติดทีมชาติชุดซีเกมส์ครั้งที่ 24 จนทีมชลบุรีดึงตัวมาร่วมทีมในปี 2551








กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ สโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (Kawin Thamsatchanan) [1] (ชื่อเล่น: ตอง; เกิด 26 มกราคม พ.ศ. 2533 กรุงเทพมหานคร) เป็นผู้รักษาประตูทีมชาติไทย ปัจจุบันลงเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด



กวินทร์ ได้มาร่วมทีมกับสโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อปีพ.ศ. 2551 ซึ่งปีนั้น เมืองทองฯยูไนเต็ดได้เลื่อนชั้นมาเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกล่าสุด สามารถแสดงทักษะฝีเท้านักเตะจนได้เป็นแชมป์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสร กวินทร์สามารถเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตูได้ดีกับสโมสร ทำให้ได้เล่นเป็นผู้รักษาประตูอย่างเต็มตัว แฟนฟุตบอลเมืองทองฯยูไนเต็ด ได้ตั้งฉายาให้ว่า "เทพกวินทร์ บินได้"



พ.ศ. 2556 ได้เปลี่ยนชื่อจาก "กวิน" มาเป็น "กวินทร์" จากคำแนะนำของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ภายหลังจากประสบเคราะห์ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง[1]
ในปี พ.ศ. 2557 ได้รับแต่งตั้งจาก เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ให้เป็นกัปตันทีมชุดเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ [2] รวมถึงเป็นผู้ถือธงชาติไทยนำหน้าคณะนักกีฬาไทยในพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ครั้งนี้ด้วย




10 เรื่องน่ารู้ของ ตอง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์

            1. เริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกเมื่อ อายุ 10 ขวบ โดยมี อ.โรจนะ สมุนไพร เป็นโค้ชผู้ฝึกสอนคนแรกและมีคุณแม่พาไปทุกครั้ง

            2. กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ เริ่มแจ้งเกิดในวงการฟุตบอลเมื่อครั้งศึกษาอยู่ที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี โดยพาทีม "เจ้าสัวน้อย" คว้าแชมป์ฟุตบอลขาสั้นได้มากมายหลายรายการ จนทำให้สโมสร "ราชประชา" ดึงตัวไปร่วมทั้งที่ในตอนนั้น "เจ้าตอง" อายุเพียง 17 ปี

            3. พ.ศ. 2551 ได้ย้ายไปร่วมทีม เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ซึ่งสมัยนั้นยังอยู่ในระดับดิวิชั่น 1 ซึ่ง "เจ้าตอง" ก็ยึดถุงมือเบอร์ 1 มาครองได้ และยังโชว์ฟอร์มเหนียวแน่นจนพาทีม "กิเลนผยอง" คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 และได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยพรีเมียร์ลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

            4. บุคลิกส่วนตัวของ ตอง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ พูดจาสุภาพ มือไม้อ่อน เจอหน้าใครเป็นต้องปรี่เข้าไปยกมือไหว้ พูดจาเพราะ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเกเรเกตุง และไม่เคยอยากลองในเรื่องนอกลู่ นอกทาง 

            5. ทุกครั้งที่เห็นตองจะต้องเห็นคุณแม่ที่คอยเฝ้าประกบติด หิ้วกระติกน้ำใบหนึ่ง ขนม นม เนย นั่งอยู่ข้างสนามเป็นกำลังใจ คอยแนะนำสั่งสอน โดยเฉพาะเรื่องความมีสัมมาคารวะ จนเพื่อน ๆ ล้อว่า "ไอ้ลูกติดแม่" แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร

            6. ด้วยความสูง 183 เซนติเมตร ของเจ้าตอง กวินทร์ เมื่อเทียบกับผู้รักษาประตูในระดับนานาชาตินั้นถือว่ามีความสูงไม่มากนัก เขาจึงต้องอาศัยความปราดเปรียวและว่องไวเข้ามาเป็นจุดเด่นทดแทน

            7. แม้อายุจะเพิ่ง 20 ต้น ๆ แต่ตองก็ผ่านสมรภูมิการค้าแข้งทั้งในระดับสโมสร และระดับทีมชาติ มาอย่างโชกโชน อีกทั้งยังคว้าถ้วยแชมป์มาประดับตู้โชว์ให้กับทีม เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ด และทีมชาติไทย ได้มากมาย ทำให้สื่อต่างประเทศของหลายชาติในเอเชีย ต่างยกให้เขาเป็น 1 ใน 10 ผู้รักษาประตูที่น่าจับตามองมากที่สุดในเอเชีย

            8. ในปี พ.ศ. 2556 ถือเป็นปีที่แสนจะเลวร้ายของตอง เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บกระดูกหน้าแข้งขวาแตก จากการไปเตะนัดอุ่นเครื่องที่ฮ่องกงกับทีม เซี่ยงไฮ้ อีสต์ เอเชีย จนทำให้เขาต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บไปนานถึงครึ่งปี ส่งผลให้ฟอร์มโดยรวมของทีม เอสซีจี เมืองทองฯ ยูไนเต็ดไม่ดีอย่างที่หวังไว้ และจากการที่เขาประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงได้เปลี่ยนชื่อจาก "กวิน" มาเป็น "กวินทร์" แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่ จากคำแนะนำของพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี 

            9.  ฮีโร่ของ ตอง กวินทร์ คือ โอลิเวอร์ คาห์น นายทวารแห่งเมืองเบียร์ เยอรมนี

            10. สำหรับเรื่องหัวใจ กวินทร์ เคยมีข่าวคบหากับ มะนาว ศรศิลป์ ดาราสาวจากช่อง 7 อยู่พักหนึ่ง แต่ก็มีข่าวลือว่าแม่ฝ่ายหญิงไม่ปลื้มเท่าไรที่ทั้งคู่คบกัน จนล่าสุดนักแสดงสาวได้ออกมาเปิดเผยระดับความสัมพันธ์ว่าเป็นแค่พี่น้องเท่านั้น   


ธีรศิลป์ แดงดา

ธีรศิลป์ แดงดา (ชื่อเล่น: มุ้ย) เกิดวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2531 เป็นนักฟุตบอลทีมชาติไทย ปัจจุบันเล่นให้กับเมืองทอง ยูไนเต็ด ในไทยพรีเมียร์ลีก ในตำแหน่งกองหน้า


ทหารอากาศกับราชประชา

ธีรศิลป์เริ่มเล่นฟุตบอลกับทหารอากาศ ใน ไทยลีกดิวิชั่น 1 เมื่อปี 2548 ในช่วงวัยแค่ 17 ปี ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยได้โอกาสลงเล่นมากเท่าไร แต่ก็สามารถทำประตูได้ 3 ประตูจากการลงเล่นแค่ 6 นัด ซึ่งในขณะนั้นยังเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวรุก แล้วได้ย้ายไปราชประชา เอฟซีในปี 2549 โดยธีรศิลป์ได้ลงเล่นในตำแหน่ง กองหน้า มากขึ้น โดยสามารถทำประตูได้ถึง 9 ประตู จากการลงเล่น 18 นัด และจ่ายให้เพื่อนทำประตูถึง 5 ครั้ง

เมืองทองยูไนเต็ด (ครั้งที่ 1)

จากนั้นช่วงครึ่งฤดูกาล (เลก 2) ธีรศิลป์ได้ย้ายลงมาเล่นให้สโมสรเมืองทองฯ ยูไนเต็ดในไทยลีกดิวิชั่น 2 ปี พ.ศ. 2550และเป็นนักฟุตบอลที่มีส่วนในการนำเมืองทองเป็นแชมป์ไทยลีกดิวิชั่น 2 ซึ่งผู้จัดการทีมของเมืองทองในขณะนั้นคือ โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ได้กล่าวเอ่ยชมว่า "ธีรศิลป์เริ่มมีทักษะและการเล่นที่ดีมากขึ้นจนมีหลายทีมทั้งในประเทศและนอกประเทศสนใจอยากได้ธีรศิลป์ได้ร่วมทีม ซึ่งตัวผมและสตาฟโค้ชทุกคนยังเชื่อมั่นได้เลยว่าเด็กคนนี้มีอนาคตที่สดใสแน่นอน" ซึ่งในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ได้ลงเล่น 15 นัด ทำประตูได้ 7 ประตู จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้ 2 ครั้ง

แมนเชสเตอร์ซิตี

ต่อมาธีรศิลป์ก็ได้เป็นหนึ่งในสามนักฟุตบอลของไทยที่ได้ไปทดสอบฝีเท้าที่สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี จนกระทั่งสเวน-เยอราน เอริกซอน ผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ซิตีในขณะนั้นได้มาเซ็นสัญญาซื้อตัวจากสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด ในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ด้วยค่าตัว 1.5 ล้านบาท[2] หลังเซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ซิตี ธีรศิลป์ก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตทำงานในอังกฤษโดยกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษไม่ออกใบอนุญาตให้ จึงไม่สามารถลงเล่นให้ต้นสังกัดได้ แมนเชสเตอร์ซิตีจึงส่งตัวไปให้ทีมกราสฮอปเปอร์คลับซูริก (สโมสรในสวิสซูเปอร์ลีกลีกฟุตบอลในสวิตเซอร์แลนด์) ยืมตัวไปในปี พ.ศ. 2551 เพื่อแก้ปัญหานักเตะไม่ได้ลงเล่น

กราสฮอปเปอร์คลับซูริก

ธีรศิลป์ได้ย้ายมาอยู่กราสฮอปเปอร์คลับซูริก สโมสรฟุตบอลจากเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ไม่สามารถสอดแทรกขึ้นมาอยู่ในทีมชุดแรกของกราสฮอปเปอร์คลับซูริกได้ จึงได้แต่เล่นอยู่กับทีมชุดเยาวชนของทีม ซึ่งได้ลงเล่นแค่ 6 นัด และทำให้มีกระแสข่าวการย้ายกลับมาเล่นในประเทศไทยอีกครั้ง

ราชประชา (ครั้งที่ 2)

ในปลายปี พ.ศ. 2551 ธีรศิลป์ได้เดินทางกลับมาเล่นฟุตบอลในประเทศไทยโดยลงเล่นในดิวิชั่น 2 ให้สโมสรราชประชาอดีตต้นสังกัดเก่าด้วยสัญญายืมตัว 5 นัด และช่วยให้สโมสรรอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ ก่อนจะถูกยกเลิกสัญญาจากแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรต้นสังกัดที่แท้จริงในเวลาต่อมา [3]

เมืองทอง ยูไนเต็ด (ครั้งที่ 2)

ฤดูกาล 2552

ในปี พ.ศ. 2552 ธีรศิลป์ได้กลับมาเซ็นสัญญาย้ายมาร่วมทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ในขณะนั้น โค้ชแต๊ก อรรถพล บุษปาคม เป็นผู้ฝึกสอน โดยย้ายแบบไม่มีค่าตัว หลังจากเคยเล่นให้สโมสรนี้มาแล้วในระดับดิวิชั่น 2 และลงสนามในไทยพรีเมียร์ลีกเป็นนัดแรกเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552 ในเกมส์ที่เปิดบ้านชนะการท่าเรือไทย 3-0 ซึ่งเขาเป็นคนยิงประตูแรกให้ทีมขึ้นนำ และนัดนี้ถือเป็นการลงเล่นในลีกสูงสุดของไทยเป็นครั้งแรกของเจ้าตัวด้วยซึ่งเขาสามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกของสโมสร ซึ่งนอกจากธีรศิลป์แล้วยังมีนักเตะที่เป็นกำลังหลักสำคัญในการช่วยสโมสรคว้าแชมป์คือ ดักโน เซียกา ซึ่งเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลนั้นที่ทำไป 10 ประตู, ซูมาโฮโร ยายา,สุริยา ดอมไธสง และในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ยิงได้ 7 ประตู

ฤดูกาล 2553

ในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงมากขึ้นถึงแม้จะติดเกมส์ของทีมชาติและมีอาการบาดเจ็บทั้งเกมส์ในลีก,ทีมชาติ และเกมส์ชิงแชมป์สโมสรเอเชียอย่าง เอเอฟซีคัพ แต่เขาก็ยังเป็นกำลังหลักสำคัญของสโมสรในการคว้าแชมป์ ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ของสโมสรเทียบเท่า บีอีซี เทโรศาสน ธนาคารกรุงไทย และ แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด นอกจากนั้นเขายังยิงได้ในรายการ เอเอฟซีคัพ รอบสิบหกทีมสุดท้ายสุดท้ายที่สโมสรเจอกับ อัล รายยัน สโมสรฟุตบอลจากประเทศกาตาร์ แต่ก็ต้องตกรอบในรอบแปดทีมสุดท้ายในนัดทีเจอกับ อัล อิตติฮัด จากซีเรีย ไปด้วยสกอร์ 2-1

ฤดูกาล 2554

เมื่อหลังจบศึกการเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือกในโซนเอเชีย ให้กับทีมชาติไทย ธีรศิลป์ได้กลับมาช่วยต้นสังกัดอีกครั้ง ซึ่งในฤดูกาลนี้สโมสรเมืองทองได้สร้างความยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยอีกครั้งด้วยการซื้อ ร็อบบี ฟาวเลอร์ อดีตกองหน้าตัวเก่งของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล และ คริสเตียน ควาคู มาช่วยธีรศิลป์ในการเพิ่มเกมส์รุกให้มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์นำทีมไปเล่นในรายการ เอเอฟซีคัพ (ซึ่งตกรอบมาจาก เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2554 รอบคัดเลือก) โดยเมืองทองอยู่กลุ่มเดียวกับ สโมสรฟุตบอลทัมปิเนสโรเวอร์,ฮานอย ทีแอนด์ที และ วีบี สปอร์ต คลับ.ซึ่งธีรศิลป์ได้ยิงประตูในรอบแบ่งกลุ่ม 2 ลูก ในนัดที่เมืองทองเปิดบ้านเอาชนะ ฮานอย ทีแอนด์ที ไป 4-0 (ยิง 2 ประตูเดียวในนัดนี้) และเมืองทองก็เป็นแชมป์กลุ่มแล้วทะลุมาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ อัล อะห์เอ็ด ซึ่งธีรศิลปืก็ยิงประตูได้ในนัดนี้ แต่ก็ต้องตกรอบในรอบ 8 ทีมสุดท้ายในนัดที่เจอกับ คูเวต เอสซี ซึ่งแพ้ไป 1-0 และใน ไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งในฤดูกาลนี้ธีรศิลป์ยิงได้ 13 ประตู และทำแฮตทริกได้ 1 ครั้งในนัดที่พบกับบางกองกล๊าสที่เมืองทองชนะด้วยสกอร์ 6-2

ฤดูกาล 2555

ก่อนที่ ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 จะเปิดฤดูกาลสโมสรเมืองทองได้ซื้อนักเตะโควตาต่างชาติเข้ามาช่วยธีรศิลป์ในการทำเกมส์รุกในแดนกองหน้า หลังจากที่ฤดูกาลที่แล้วไม่ค่อยประสบความสำเร็จอย่างที่ควร โดยซื้อนักเตะอย่าง มารีโอ ยูโรฟสกีอัดนัน บาราคัทเปาโล เรนเกิล.ประตูแรกที่ธีรศิลป์ยิงได้ในไทยลีกนัดแรกคือเกมส์ที่เมืองทองเปิดบ้านเอาชนะ สโมสรฟุตบอลการท่าเรือไทย ไป 5-1 ธีรศิลป์ยังทำแฮตทริกได้ในนัดที่เมืองทองบุกไปเอาชนะบีบีซียูเอฟซี ได้ 1-8 ส่วนใน ไทยคม เอฟเอคัพ 2555 รอบก่อนรองชนะเลิศที่เมืองทองเจอกับอาร์มี่ ยูไนเต็ด ซึ่งธีรศิลป์ก็ยิงไป 1 ประตู แต่ก็แพ้ด้วยสกอร์ 3-2 และใน โตโยต้า ลีกคัพ 2555 ธีรสิลป์จะยิงประตูไม่ได้แต่ก็ช่วยจ่ายให้เพื่อนทำประตู 2 ครั้ง และเมื่อจบการแข่งขัน ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 เมืองทองยูไนเต็ดเป็นแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก สมัยที่ 3 ซึ่งสามารถสร้างสถิติไม่แพ้สโมสรใดในฤดูกาลนี้ในไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งธีรศิลป์ก็ได้รับรางวัลดาวซัลโวร่วมกับ คลีตัน โอลิเวียรา ซิลวา นักฟุตบอลชาวบราซิลของบีอีซี เทโรศาสน ด้วยการทำประตูไป 24 ประตู และยังได้รับรางวัล กองหน้ายอดเยี่ยมประจำปี พ.ศ. 2555 ของไทยพรีเมียร์ลีก เป็นสมัยแรกของเจ้าตัว

หลังจากจบฤดูกาล 2555

หลังจบศึก ไทยพรีเมียร์ลีก 2555 ไปประมาณ 1 เดือน ธีรศิลป์ได้กลับไปอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ร่วมกับครอบครัว ซึ่งในช่วงนั้นมีข่าวลือเกี่ยวกับการย้ายตัวของธีรศิลป์มากมายทั้งจะย้ายไปอยู่ในลีกฟุตบอลเกาหลี,ออสเตรเลีย และ สโมสรฟุตบอลเคตาเฟ จาก ลาลีกาสเปน ได้ยื่นข้อเสนอเป็นเงิน 10 ล้านบาทมาให้สโมสรเมืองทองแต่ก็ได้รับการปฏิเสธไป แต่ก็มีข่าวทีทำให้แฟนบอลชาวไทยดีใจกันทั้งประเทศคือ สโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด สโมสรฟุตบอลจากลาลีกาสเปน ซึ่งเป็นสโมสรพันธมิตรกับเมืองทองได้เสนอเชิญธีรศิลป์เข้าไปร่วมทดสอบการเล่นกับสโมสรอัตเลตีโกมาดริดเป็นเวลา 1 เดือน ที่ ประเทศสเปนและพร้อมจัดที่พักกับรถรับส่งเป็นอย่างดี ซึ่งทั้งทางธีรศิลป์และสโมสรเมืองทองได้ตอบตกลงกับทางอัตเลตีโกมาดริดและมีกำหนดการไปร่วมฝึกซ้อม ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 และหลังจากนั้นธีรศิลป์ได้ถูกเรียกในนาม ฟุตบอลทีมชาติไทย ไปแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ที่ประเทศไทยและประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพร่วม

ฤดูกาล 2556

อัตเลตีโกมาดริด (ไปทดสอบการเล่น)
ในฤดูกาล 2556 ธีรศิลป์เดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด ที่ประเทศสเปน พร้อมกับผู้ฝึกสอน อุทัย บุญเหมาะ ที่บินไปอบรมผู้ฝึกสอน และนักเตะเยาวชนของ สโมสรฟุตบอลเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด อีก 9 ราย อย่าง กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์, เสกสิทธิ์ ศรีใส, ตามีซี หะยียูโซะ, กิตติศักดิ์ โฮชิน, ณัฐพล เปี่ยมพลาย, นนทวัฒน์ กลิ่นจำปาศรี, วีระวัฒน์ เกิดปั้น, พิชา อุทรา, พิพรรธพล ทับไทร ก็เดินทางไปเพาะบ่มฝีเท้ากับเจ้ามุ้ยด้วยเช่นเดียวกัน โดยเดินทางไปจากสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2556 [4] และทั้งหมดนี้ได้เดินทางถึงประเทศสเปนเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ท่ามกลางการต้อนรับถึงสนามบินที่สเปนของตัวแทนสโมสรฟุตบอลอัตเลตีโกมาดริด[5] และธีรศิลป์ก็ได้ลงซ้อมประเดิมทดสอบฝีเท้ากับทีมสำรองชุดเบและชุดเซกับสโมสรอัตเลตีโกมาดริดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา [6] โดยมีอาวุธ จิวรากรานนท์ (เจมส์ ลาลีกา) และ โฆษิต นิมมานวัฒนา (เต๊ะ เอลนินโญ่) สองผู้สื่อข่าวจากสยามสปอร์ตประจำประเทศสเปนได้ร่วมเกาะติดและเก็บภาพบรรยากาศออกอากาศผ่านทางช่องสตาร์ซอคเกอร์ทีวี โดยได้ไปซ้อมกับนักเตะชื่อดังของสโมสรอัตเลตีโกมาดริด อาทิเช่น ราดาเมล ฟัลกาโออาร์ดา ตูรานเดียโก โกดิน ซึ่งมีผู้ฝึกสอนชุดใหญ่ของสโมสรอย่าง เดียโก ซีเมโอเน เป็นผู้ดูแลและคอยให้คำแนะนำและแท็กติกให้กับธีรศิลป์อยู่เสมอ
เมืองทอง ยูไนเต็ด

ธีรศิลป์ลงเล่นให้เมืองทองยูไนเต็ดในปี พ.ศ. 2556
หลังจากกลับมาจากประเทศสเปน ธีรศิลป์ได้ลงเล่นให้กับเมืองทองยูไนเต็ดนัดแรกอย่างเป็นทางการของฤดูกาล 2556 โดยเป็นการแข่งขันในรายการ ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน ถ้วย ก ด้วยการพบกับทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งผลออกมาเมืองทองแพ้ไป 2-0 แล้วต่อมาใน เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก 2013 ในนัดเปิดสนาม เอสซีจี สเตเดียม พบกับ ชอนบุกฮุนไดมอเตอร์ สโมสรฟุตบอลจากเคลีกของประเทศเกาหลีใต้ โดยผลคือเสมอกันไป 2-2.ในการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก นัดแรกของฤดูกาล 2556 เมืองทองยูไนเต็ดพบกับสโมสรฟุตบอลทหารบก (อาร์มี่ ยูไนเต็ด) ซึ่งธีรศิลป์ยิงลูกแรกให้เมืองทองขึ้นนำ ก่อนที่ผลจะจบออกมาด้วยสกอร์ 2-1

อัลเมรีอา

ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 สโมสรอูเด อัลเมรีอา ในลาลีกาของสเปน ได้ยืมตัวธีรศิลป์ไปเล่นในฤดูกาล 2557-2558 เป็นเวลา 1 ฤดูกาล ภายใต้การคุมทีมของฟรันซิสโก คาเบียร์ โรดรีเกซ บิลเชซ กุนซือชาวสเปน พร้อมเงื่อนไขในการซื้อขาดหากทำผลงานได้ดี โดยธีรศิลป์จะได้สวมเสื้อหมายเลข 18 ลงเล่นให้กับอัลเมรีอา ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับสโมสรที่สภาว่าการเมืองอัลเมรีอา แคว้นอันดาลูซีอา ประเทศสเปน[7]
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ธีรศิลป์สร้างประวัติศาสตร์โดยการเป็นนักเตะชาวไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นในลาลีกา เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนเฟร์นันโด โซเรียโน มาร์โกในเกมลาลีกาที่อัลเมรีอาเปิดบ้านเสมออัสปัญญอล 1-1 ที่เอสตาดีโอเดโลสคูเอโกสเมดีเตร์ราเนโอส
ในลาลีกา ธีรศิลป์ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก โดยต้องตกเป็นตัวสำรองของโตเมร์ เฮเมด กองหน้าทีมชาติอิสราเอล และมักจะถูกส่งลงมาเล่นในช่วงท้ายเกม
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ธีรศิลป์ถูกส่งลงสนามในฐานะตัวจริงเป็นนัดแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยโกปาเดลเรย์ รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดแรก โดยอัลเมรีอาต้องออกไปเยือนเรอัลเบติสที่สนามเบนีโต บียามาริน ซึ่งเกมส์นี้ถือเป็นดาร์บีแมตช์ของแคว้นอันดาลูซีอาอีกด้วย
การลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกของธีรศิลป์ เขาสามารถยิงประตูแรกให้ต้นสังกัดได้สำเร็จ เมื่ออีบัน ซานเชซจ่ายบอลมาให้เขาหลุดเดี่ยวเข้าไปยิงประตูผ่านดานี คีเมเนซ ผู้รักษาประตูของเรอัลเบติส เข้าไปให้ทีมบุกมานำ 0 - 2 ก่อนจะจบลงด้วยชัยชนะ 3 - 4
ในต้นปี พ.ศ. 2558 ธีรศิลป์ได้ยกเลิกสัญญากับอัลเมรีอา ทำให้ไม่ครบระยะเวลาสัญญา 1 ปี โดยจะกลับไปเล่นให้กับเมืองทอง ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเดิมต่อไป โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถปรับตัวได้ โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารหรือเรื่องภาษา ทำให้ธีรศิลป์ลงเล่นในลาลีกา 6 นัด ยิงไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียว และในรายการโกปาเดลเรย์ ได้ลง 4 นัด ยิงได้ 1 ประตู [8]

สินทวีชัย หทัยรัตนกุล

สินทวีชัย หทัยรัตนกุล (ชื่อเล่น: ตี๋; เกิดวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2525 ที่จังหวัดสกลนคร) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อเดิมว่า โกสินทร์ หทัยรัตนกุล เป็นนักฟุตบอลชาวไทย เติบโตที่จังหวัดชลบุรี โดยเริ่มเล่นฟุตบอลให้กับโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา จากนั้นได้ลงเล่นในรายการแข่งขันทั้งระดับท้องถิ่นและภูมิภาค ทำให้ความสามารถของผู้รักษาประตูที่สูง 179 เซนติเมตร พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันสังกัดสโมสรชลบุรี เอฟซี







จากกระทู้จากพันทิป ยิ่งรู้จักยิ่งรักสินทวีชัย

“สินทวีชัย หทัยรัตนกุล” ชื่อนี้อาจจะโดดเด่นอยู่ในวงการฟุตบอลไทยเพียงแค่ไม่นาน

นั่นเพราะเป็นชื่อใหม่ ที่เพิ่งเปลี่ยนจากชื่อเดิม “โกสินทร์ หทัยรัตนกุล” โดยถือฤกษ์งามยามดี เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009

ในช่วงแรกๆ จึงยังมีแฟนบอลจำนวนหนึ่ง งุนงงและสงสัย ว่า “สินทวีชัยคือใคร และเป็นอะไรกับโกสินทร์”

ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อจริงเท่านั้น ที่สร้างความสับสน ชื่อเล่นก็ไม่ต่างกัน

ทุกวันนี้ ยังมีคนเรียกสินทวีชัยสั้นๆว่า “บอล” ทำให้หลายคนสงสัย ว่า “บอลคือใคร และเป็นอะไรกับตี๋”

คำตอบเป็นคำตอบเดียวกันกับคำถามด้านบน คือ “เป็นคนคนเดียวกัน”

“บอล” เป็นชื่อเล่นที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้ ส่วน “ตี๋” เป็นชื่อที่ถูกเรียกในภายหลัง โดยคุณวิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ เนื่องจากชื่อเล่นเดิมนั้น มัน “โหลมาก”








24 ต.ค. 2015
อาการบาดเจ็บล่าสุดของนายด่านฉลามชล ที่ปะทะหนักในเกมถล่มเชียงราย ยูไนเต็ดตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพักฟื้น ซึ่งต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ชลบุรี เอฟซี ต้องพบกับโชคร้ายคือการต้องพบกับอาการบาดเ­จ็บ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม ที่ปะทะหนักในช่วงท้ายเกม โดยจังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงท้ายเป็นจ­ังหวะที่ สินทวีชัย พุ่งออกมาตัดบอลแล้วไปกระแทกกับ โชติภัทร พุ่มแก้ว มิดฟิลด์ทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ที่โถมเข้ามาก่อนที่นายด่านทีมชาติไทยจะลง­พื้นแบบหน้ากระแทก จนเกมต้องหยุดไปร่วม 10 นาที เบื้องต้นจากการตัวเช็คอาการอย่างละเอียด ของ นายแพทย์ ระบุว่า สินทวีชัย มีอาการ ศรีษะด้านซ้ายแตก และ จาก เอ็กซเรย์สมอง พบว่า มีอาการสมองช้ำโดยเตรียมย้ายไปพักฟื้น และ ดูอาการ ที่ห้อง ICU ณ โรงพยาบาล สมิติเวช ศรีราชา


คลิป จังหวะ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล
โดนกระแทกสมองช้ำส่งเข้า ICU รอเช็คอาการเพิ่ม